การจัดพิธีงานศพไทยในปัจจุบัน มีขั้นตอนพิธีกรรมและความเชื่อต่างจากพิธีศพในสมัยโบราณ มาดูขั้นตอนการ จัดพิธีศพตามความเชื่อโบราณกันค่ะ
เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยเพียงพอจะยืนยันการเสียชีวิตได้ค่ะ ดังนั้นเวลาที่มีคนหยุดหายใจ ชาวบ้านก็จะจุดเทียนขี้ผึ้งหนึ่งเล่มขึ้นมาและรอจนกว่าเทียนจะละลายหมดเล่มดับไปเอง หากผู้หยุดหายใจยังไม่ฟื้นก็แสดงว่าผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้วจริง ๆ
เชื่อว่าการอาบน้ำศพนั้นจะช่วยให้ผู้ล่วงลับเดินทางไปสู่ภพภูมิอื่นได้อย่างสะอาดและบริสุทธิ์ ซึ่งในอดีตนั้นจะเป็นการอาบน้ำฟอกสบู่ให้กับศพในทุกส่วนของร่างกาย โดยใช้น้ำสมุนไพรที่ถูกต้มทิ้งไว้จนอุ่นอาบก่อน จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง และปิดท้ายด้วยการนำขมิ้นมาทาทั่วร่างกายศพ ต่างจากปัจจุบันที่นำน้ำมะพร้าว น้ำหอม หรือน้ำอบใส่ภาชนะแล้วนำไปราดบนร่างหรือมือของศพก่อนนำใส่โลงศพหรือนำไปเผา
คนในสมัยก่อนจะใช้หวีเสนียด เพื่อหวีผมให้แก่ศพเป็นจำนวน 3 ครั้ง หรือหวีแบบแบ่งเป็น 2 ซีก คือหวีไปข้างหน้าซีกหนึ่ง และหวีไปข้างหลังอีกซีกหนึ่ง เพราะเชื่อว่าเป็นตัวแทนระหว่างคนที่ยังมีชีวิตอยู่และคนที่เสียชีวิตไปแล้ว จากนั้นก็ให้หักหวีเป็น 2 ท่อนทิ้ง เพื่อไม่ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เผลอหยิบไปใช้นั่นเอง โดยการหวีผมให้แก่ศพนั้นก็ถือเป็นปริศนาธรรมให้แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ว่าต่อให้หวีนั้นจะเป็นหวีที่ดีมากมายเพียงใด หากถูกหักทิ้งก็จะไม่สามารถใช้งานต่อได้อีก เปรียบได้กับชีวิตของคนเราที่ไม่เที่ยงแท้ และความตายกับการเกิดเป็นของคู่กัน เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ
คนในสมัยก่อนนั้นจะนำเงินพดด้วงมาผูกเชือกและนำไปใส่ไว้ในปากศพระหว่างจัดงานศพ เพราะเชื่อว่าผู้ล่วงลับจะได้นำไปใช้เป็นค่าจ้างของผู้ทำหน้าที่นำดวงวิญญาณไปสู่โลกหลังความตาย หรือนำทรัพย์สินติดตัวไปใช้จ่ายในเมืองผีนั่นเอง นอกจากนั้นยังเป็นปริศธรรมให้แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ว่าเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมายเพียงใดก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว สิ่งที่จะนำไปได้ก็มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคนเราเกิดมาแล้วก็อย่าลุ่มหลงในทรัพย์สินหรือทรัพย์สมบัติ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือใช้เป็นค่าจ้างของสัปเหร่อที่นำศพไปเผา เพื่อป้องกันเจ้าภาพบิดพลิ้วหรือไม่ยอมจ่ายค่าทำศพในภายหลัง
นอกจากเงินปากผีแล้ว หมากปากผีก็เป็นความเชื่อโบราณเกี่ยวกับการจัดพิธีงานศพไทยในสมัยก่อนที่คล้ายคลึงกันคือเป็นปริศนาธรรมที่สั่งสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ว่าหลังจากเสียชีวิตก็ไม่สามารถเคี้ยวเพื่อลิ้มรสความอร่อยของหมากได้อีกต่อไป ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าคนไทยในสมัยก่อนมักชื่นชอบการตำหมากและการเคี้ยวหมาก ดังนั้นจึงนำหมากใส่ไว้ในปากของผู้ล่วงลับ เพื่อที่จะได้เคี้ยวลิ้มรสระหว่างเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย
การจัดพิธีงานศพไทยในสมัยก่อนนั้น ประตูป่าถือได้ว่าเป็นประตูที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะกิจสำหรับผู้เสียชีวิต เพื่อใช้เป็นเส้นทางการนำศพออกจากบ้าน ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตภายในบ้าน คนในสมัยก่อนจะรื้อผนังบ้านออกมาแล้วนำกิ่งไม้มาปักทำเป็นซุ้มประตู โดยระหว่างที่เคลื่อนย้ายศพจะต้องให้ปลายเท้าของผู้เสียชีวิตออกมาก่อนเสมอค่ะ เพราะเชื่อว่าจะช่วยไม่ให้ศพนั้นเห็นบ้านจนเกิดจิตห่วงหาอาลัย และเมื่อศพพ้นจากประตูป่าไปแล้วจะต้องรื้อทิ้งทันทีและปิดฝาผนังบ้านให้เรียบร้อย เพื่อให้ดวงวิญญาณของศพหาทางกลับบ้านไม่ได้ เนื่องจากไม่พบประตูป่าหรือประตูผีที่ถูกทำลายลงแล้ว
นอกจากประตูป่าหรือประตูผีจะสร้างขึ้นมาเฉพาะกิจสำหรับผู้เสียชีวิตในการจัดพิธีงานศพไทยในสมัยก่อนแล้ว บันไดผีก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือเมื่อขนย้ายศพลงมาถึงชานบ้านเรียบร้อยแล้วก็จะต้องรื้อทิ้งทันที เพื่อไม่ให้วิญญาณของผู้ล่วงลับกลับเข้ามาในบ้านได้ เนื่องจากไม่พบเจอบันไดผีที่ทำลายทิ้ง
การซัดข้าวสารขับไล่สิ่งอัปมงคลเป็นขั้นตอนของการจัดพิธีงานศพไทยในสมัยก่อนช่วงระหว่างการขนศพออกจากบ้าน เพราะเชื่อว่าการซัดข้าวสารพร้อมบริกรรมคาถาเป็นการขับไล่สิ่งอัปมงคลให้ออกไปจากบ้านพร้อมกับศพ
โดยคนในสมัยก่อนจะนำข้าวสารตอกโปรยลงพื้นไปเรื่อย ๆ ตลอดทางระหว่างเคลื่อนย้ายศพไปยังวัด ซึ่งการโปรยข้าวสารตอกนี้เป็นปริศนาธรรมให้แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ว่าเมื่อคนเราเสียชีวิตไปแล้วย่อมไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก เช่นเดียวกับข้าวสารตอกที่ต่อให้โปรยลงพื้นก็ไม่มีทางกลับมางอกเงยได้อีก
ญาติของผู้ล่วงลับจะเป็นผู้พูดบอกทางวิญญาณของผู้ล่วงลับขณะเคลื่อนย้ายศพไปยังวัด โดยบอกเป็นระยะ ๆ ว่าไปทางไหน และเลี้ยวตรงไหนบ้าง เพื่อให้วิญญาณที่กำลังเดินตามร่างของตนเองจะได้ไม่เดินหลงทาง
Cr.wreathmala.com
ล่าสุด